지금바로가기

เรียนรู้เกี่ยวกับคะแนนเครดิตสำหรับการกู้ยืมเงินอย่างละเอียด

  • ภาษาที่เขียน: ภาษาเกาหลี
  • ประเทศอ้างอิง: ทุกประเทศcountry-flag
  • อื่นๆ

สร้าง: 2024-08-29

สร้าง: 2024-08-29 16:05

เหตุผลที่คะแนนเครดิตมีความสำคัญเมื่อขอสินเชื่อนั้นเป็นเพราะสถาบันการเงินใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้

คะแนนเครดิตที่สูงแสดงถึงความน่าเชื่อถือ ส่งผลให้โอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อสูงขึ้นและสามารถได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ในทางกลับกัน คะแนนเครดิตที่ต่ำอาจนำไปสู่การปฏิเสธสินเชื่อหรืออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้เกิดภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น

ดังนั้น คะแนนเครดิตจึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อเงื่อนไขของสินเชื่อ งั้นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับคะแนนเครดิตกันอย่างละเอียดในตอนนี้เลยดีกว่า

คะแนนเครดิตคืออะไร?

คะแนนเครดิตคือตัวเลขที่แสดงถึงระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของบุคคล ซึ่งเป็นเกณฑ์สำคัญที่สถาบันการเงินใช้ในการตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อ โดยทั่วไปแล้ว คะแนนจะอยู่ในช่วง 300 ถึง 850 โดยคะแนนที่สูงขึ้นบ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือทางการเงินที่ดีขึ้น

1. องค์ประกอบของคะแนนเครดิต

คะแนนเครดิตประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ องค์ประกอบหลักๆ ได้แก่ ประวัติการชำระเงิน (35%), อัตราการใช้สินเชื่อ (30%), ระยะเวลาประวัติสินเชื่อ (15%), ประเภทของสินเชื่อ (10%), และการตรวจสอบเครดิตเมื่อเร็วๆ นี้ (10%) องค์ประกอบเหล่านี้ส่งผลต่อคะแนนเครดิตในสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไป

2. ความสำคัญของคะแนนเครดิต

คะแนนเครดิตส่งผลต่อธุรกรรมทางการเงินต่างๆ เช่น การอนุมัติสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย และวงเงินบัตรเครดิต คะแนนเครดิตที่สูงจะช่วยให้ได้รับเงื่อนไขสินเชื่อที่ดีขึ้น ในขณะที่คะแนนที่ต่ำอาจนำไปสู่การปฏิเสธสินเชื่อหรืออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

3. วิธีการจัดการคะแนนเครดิต

ในการจัดการคะแนนเครดิต ควรตรวจสอบรายงานเครดิตเป็นประจำ ปฏิบัติตามกำหนดเวลาชำระเงิน และลดอัตราการใช้สินเชื่อ นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงการตรวจสอบเครดิตที่ไม่จำเป็นและการใช้ประเภทของสินเชื่อต่างๆ อย่างเหมาะสมก็ช่วยได้เช่นกัน

4. วิธีการตรวจสอบคะแนนเครดิต

สามารถตรวจสอบคะแนนเครดิตได้ผ่านบริษัทข้อมูลเครดิตหรือสถาบันการเงิน ในประเทศไทยสามารถตรวจสอบคะแนนเครดิตได้จาก [ชื่อบริษัทข้อมูลเครดิตในประเทศไทย] และสถาบันการเงินบางแห่งอาจมีการให้บริการตรวจสอบคะแนนเครดิตฟรี การตรวจสอบคะแนนเครดิตเป็นประจำช่วยให้ทราบสถานะทางการเงินของตนเอง

วิธีการเพิ่มคะแนนเครดิต

1. ชำระเงินตรงเวลา

การชำระเงินบัตรเครดิตและสินเชื่อรายเดือนตรงเวลามีความสำคัญมากที่สุด ประวัติการชำระเงินคิดเป็น 35% ของคะแนนเครดิต ดังนั้น การชำระเงินอย่างสม่ำเสมอโดยไม่มีการค้างชำระจะช่วยเพิ่มคะแนนเครดิตได้อย่างมาก

2. จัดการอัตราการใช้สินเชื่อ

การลดอัตราการใช้สินเชื่อเทียบกับวงเงินบัตรเครดิตมีความสำคัญ โดยทั่วไปแล้วควรให้อยู่ที่ 30% ลงไป ตัวอย่างเช่น หากวงเงินบัตรเครดิตอยู่ที่ 1,000,000 บาท ควรใช้ไม่เกิน 300,000 บาท

3. เพิ่มระยะเวลาประวัติสินเชื่อ

การใช้บัตรเครดิตเป็นเวลานานและการคงบัญชีไว้เป็นเวลานานจะส่งผลดีต่อคะแนนเครดิต การเปิดบัญชีสินเชื่อใหม่บ่อยๆ นั้นไม่ดีเท่ากับการดูแลบัญชีสินเชื่อที่มีอยู่เดิม

4. ใช้ประเภทของสินเชื่อที่หลากหลาย

คะแนนเครดิตอาจได้รับผลดีเมื่อมีสินเชื่อหลากหลายประเภท ตัวอย่างเช่น การใช้บัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้าน ฯลฯ อย่างเหมาะสม

5. ลดการตรวจสอบเครดิต

เพื่อเพิ่มคะแนนเครดิต ควรหลีกเลี่ยงการตรวจสอบเครดิตที่ไม่จำเป็น การยื่นขอสินเชื่อจากหลายสถาบันการเงินพร้อมกันอาจส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิต ดังนั้นควรวางแผนอย่างรอบคอบ

6. ตรวจสอบรายงานเครดิต

การตรวจสอบรายงานเครดิตเป็นประจำเพื่อดูว่ามีข้อมูลผิดพลาดหรือไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นสิ่งสำคัญ หากพบข้อมูลที่ผิดพลาดควรแจ้งขอแก้ไขทันที

สาเหตุที่ทำให้คะแนนเครดิตลดลง

1. การค้างชำระ

หากไม่ชำระเงินบัตรเครดิตหรือสินเชื่อตรงเวลา จะมีการบันทึกประวัติการค้างชำระ ซึ่งส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิตอย่างมาก ยิ่งค้างชำระนานเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อคะแนนมากขึ้นเท่านั้น

2. อัตราการใช้สินเชื่อสูง

หากจำนวนเงินที่ใช้จ่ายบนบัตรเครดิตสูงเกินไปเมื่อเทียบกับวงเงินบัตรเครดิต อาจทำให้คะแนนเครดิตลดลง โดยทั่วไปแล้ว หากอัตราการใช้สินเชื่อเกิน 30% อาจส่งผลเสียต่อคะแนน

3. การเปิดและปิดบัญชีสินเชื่อ

การเปิดบัญชีสินเชื่อใหม่บ่อยๆ หรือการปิดบัญชีเก่าอาจทำให้ระยะเวลาเฉลี่ยของประวัติสินเชื่อลดลง ส่งผลให้คะแนนเครดิตลดลง โดยเฉพาะการเปิดบัญชีสินเชื่อหลายบัญชีพร้อมกันอาจส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิต

4. การตรวจสอบเครดิต

เมื่อยื่นขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิต จะมีการตรวจสอบเครดิต หากยื่นขอจากหลายสถาบันการเงินพร้อมกัน อาจทำให้เกิด 'การตรวจสอบเครดิตแบบยาก' ซึ่งส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิต

5. ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

หากรายงานเครดิตมีข้อมูลที่ผิดพลาด อาจทำให้คะแนนเครดิตลดลง เช่น ประวัติการค้างชำระที่ผิดพลาดหรือข้อมูลบัญชีที่ไม่ถูกต้อง

6. การล้มละลายหรือการผิดนัดชำระหนี้

การยื่นขอล้มละลายหรือประวัติการผิดนัดชำระหนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคะแนนเครดิต บันทึกเหล่านี้จะคงอยู่ในรายงานเครดิตเป็นเวลาหลายปีและทำให้คะแนนเครดิตลดลง

ความคิดเห็น0

เช็กคะแนนเครดิตฟรีได้ที่ไหนและอย่างไร? วิธีการง่ายๆ และรวดเร็ว!เช็กคะแนนเครดิตได้ฟรีที่แอปพลิเคชันต่างๆ เช่น ทอส (Toss), คาเคาแบงก์ (KakaoBank) พร้อมทั้งข้อมูลการเปลี่ยนแปลงระดับเครดิตและวิธีการจัดการคะแนนเครดิต
뉴스코리아
뉴스코리아
뉴스코리아
뉴스코리아

November 5, 2024

วิธีเพิ่มคะแนนเครดิต เคล็ดลับเด็ดที่คุณต้องรู้!เผยเคล็ดลับเด็ดๆในการเพิ่มคะแนนเครดิต! เรียนรู้วิธีการชำระหนี้ตรงเวลา การใช้บัตรเครดิตอย่างเหมาะสม และการใช้บัตรเดบิต เพื่อบริหารจัดการคะแนนเครดิตของคุณ เราจะช่วยคลายข้อสงสัยและแนะนำวิธีการเพิ่มคะแนนเครดิตของคุณได้ทันที
뉴스코리아
뉴스코리아
뉴스코리아
뉴스코리아

November 5, 2024

นักลงทุนต้องรู้! หนี้สินในงบการเงินคืออะไร?เรียนรู้เกี่ยวกับ 'หนี้สิน' ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินสถานะทางการเงินของบริษัทก่อนการลงทุน ทำความเข้าใจประเภทของหนี้สิน อัตราส่วน และการบริหารจัดการ เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจลงทุน
Cherry Bee
Cherry Bee
Cherry Bee
Cherry Bee

July 21, 2024

ความรู้พื้นฐานสำหรับการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ อัตราส่วนเงินสดในมือคืออะไร?อัตราส่วนเงินสดในมือที่บ่งบอกถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นของบริษัท อัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน ช่วยให้คุณวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินของบริษัทและนำไปใช้ในการลงทุน
Cherry Bee
Cherry Bee
Cherry Bee
Cherry Bee

September 7, 2024

คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับการกู้ยืมและฟื้นฟูเครดิตสำหรับผู้ที่มีประวัติการชำระหนี้ล่าช้าคู่มือสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาจากการชำระหนี้ล่าช้าเกี่ยวกับการกู้ยืมและการฟื้นฟูเครดิต เราจะนำเสนอวิธีแก้ปัญหาและวิธีป้องกันต่างๆ เช่น เงินทุนจากนโยบายรัฐบาล โครงการของคณะกรรมการฟื้นฟูเครดิต การล้มละลายส่วนบุคคล ฯลฯ
뉴스코리아
뉴스코리아
뉴스코리아
뉴스코리아

November 6, 2024

ตัวชี้วัดที่จำเป็นต้องตรวจสอบก่อนลงทุนในบริษัท คืออะไร? อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio)เรียนรู้เกี่ยวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการตรวจสอบความมั่นคงทางการเงินของบริษัทก่อนการลงทุน หากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 100% แสดงว่ามีความมั่นคงทางการเงินที่ดี แต่หากสูงกว่า 200% อาจมีความเสี่ยง
Cherry Bee
Cherry Bee
Cherry Bee
Cherry Bee

September 6, 2024